Event : งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” หรือ MOTOR EXPO 2022 (2-12 ธ.ค 65)

กูพาไปฝากบอกอีเว้นท์ งาน Motor Expo 2022 ได้เวลา…สัมผัสอนาคต It’s TIME…Come Touch the Future ในโลกแห่งยานยนต์ ความหมายของคำว่า “อนาคต” หาใช่ ช่วงเวลาที่ยังมาไม่ถึง ตามนิยามทั่วไป เพราะแม้กระทั่งยานยนต์ยุคปัจจุบัน ก็มีความล้ำหน้ากว่าผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งด้านรูปลักษณ์ สมรรถนะและเทคโนโลยี

อนาคตของยานยนต์จึงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เนื่องจากบรรดาวิศวกรต่างสร้างสรรค์นวัตกรรมอันน่าทึ่งออกมาตลอดเวลา พร้อมทยอยนำเสนอในรูปของรถแนวคิด รถต้นแบบ ก่อนปรับใช้ให้เหมาะกับรถบนสายการผลิต

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือการเปลี่ยนแปลงขุมกำลัง จากเครื่องยนต์สันดาปภายใน สู่ระบบไฮบริด และไฟฟ้า ในชั่วระยะเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ รวมถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของระบบช่วยขับอัตโนมัติ จนขณะนี้มีความอัจฉริยะใกล้ระดับสูงสุด ซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากปราศจากการค้นคว้าทดลองอย่างต่อเนื่อง

ในมิติของกาลเวลา อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ตรงกันข้ามกับอนาคตของยานยนต์ ซึ่งสามารถปรากฏเป็นจริงได้โดยไม่ต้องรอ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” ภายใต้แนวคิด “ได้เวลา…สัมผัสอนาคต”

เผยโฉม Neta S รถสปอร์ทไฟฟ้าประตูปีกนก ในงาน Motor Expo 2022

เตรียมพบกับ Neta S รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสไตล์ Sporty Smart Coupe ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” หรือ Motor Expo 2022

Neta S เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสไตล์ Sporty Smart Coupe ที่มาพร้อมระบบช่วยในการขับขี่อัจฉริยะมากมาย โดยในรุ่น Special Version จะมีพละกำลังสูงสุดถึง 462 แรงม้า โดยมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงให้อัตราเร่งจาก  0-100 กม./ชม. เพียง 3.9 วินาที เท่านั้น และระยะทางในการขับขี่ไกลถึง 650 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

การออกแบบภายนอกสไตล์สปอร์ทคูเป ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย เพิ่มความเท่ด้วยการเปิดประตูคู่หน้าแบบปีกนก ไฟหน้า และไฟท้ายเป็นแบบ LED ไฟเลี้ยวแบบ Sequential LED มีหลังคา Panoramic Sunroof ขนาด 9 ตารางเมตร มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว 

ภายในมีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 3 นิ้ว และหน้าจอ Infotainment แบบ Ultra thin ขนาด 6 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 3 นิ้ว รวมถึง AR-HUD Augmented Reality Head-up Display System โดยมีชิปประมวลผล Snapdragon Chip เจเนอเรชันที่ 3 (Qualcomm Snapdragon 8155) รองรับการสื่อสารสัญญาณ 5G ระบบสั่งการด้วยเสียง และให้ลำโพงมาทั้งหมดถึง 21 จุด พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง 720° Nezha Surround Sound

ด้านสมรรถนะนั้น เชื่อว่าทาง Neta จะนำรุ่น Neta S รุ่น Special Version มาโชว์ตัว โดยรุ่นนี้มีกำลังรวมสูงสุด 340 kW หรือ 462 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร  จากระบบส่งกำลัง หรือมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD และใช้แบทเตอรีแบบ Lithium-ion ขนาดความจุ 91 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 650 กม./ชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที

สามารถเข้ามาชมตัวจริงได้ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” หรือ Motor Expo 2022 ที่จะจัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ฮอล์ 1-3 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธค. 2565 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NETA Call Center โทร. 02-039-5751 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

New MG4 Electric แฮทช์แบค EV ขับเคลื่อนล้อหลัง เปิดตัวพร้อมราคาครั้งแรกใน Motor Expo 2022

New MG4 Electric รถแฮทช์แบคพลังงานไฟฟ้า 100 % ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 ของ MG ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย มาพร้อมคอนเซพท์ “Icon” นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของรถ EV ที่ขับสนุก โดยมีความโดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง จากพแลทฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform สำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมราคา วันที่ 30 พย. นี้ ในงาน Motor Expo 2022

Nebula Pure Electric Platform โครงสร้างที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถไฟฟ้า

ครั้งแรกของ New MG4 Electric กับการพัฒนาบนพแลทฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ดีไซจ์นมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ กับความสามารถในการนำไปปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนท์ ตั้งแต่รถแฮทช์แบค ซีดาน ไปจนถึงรถกระบะ รวมถึงสามารถรองรับแบทเตอรีที่หลากหลายในหลายความจุ

Iconic Design โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ

New MG4 Electric มีดีไซจ์นการออกแบบภายนอกแนวสปอร์ท ตั้งแต่ไฟหน้า LED Galexy Technology Matrix Headlights ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัย และไฟท้าย LED ลาย Cgynus Symbol Decorative Light ดูสวยงามล้ำยุค พร้อมหลังคาแบบทูโทน และสปอยเลอร์หลังสุดเท่แบบ Twin Arrow Wing

มีการเลือกใช้ล้ออัลลอยด์ดีไซจ์นใหม่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อม Aero Wheel Cover ที่ช่วยลดแรงต้านอากาศเป็นอย่างดี โดยมีมิติตัวถังยาว​ 4,287 มม. กว้าง 1,836 มม. สููง 1,516 มม. และระยะฐานล้อ 2,705 มม. โดยมีระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มม.

ภายในห้องโดยสารออกแบบอย่างเรียบง่าย เน้นการใช้งาน ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง โดยมีคอนโซลกลางแบบ Floated Central Control Platform พร้อมที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันหุ้มหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 25 นิ้ว และลำโพง 6 ตำแหน่ง รองรับการเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type A และ Type C

เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ส่วนเบาะหลังพับได้แบบ 60:40 ที่สำคัญมีโหมด Intelligent Smart Access เมื่อผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งคนขับ เพียงเหยียบเบรค ระบบการทำงานของรถจะสตาร์ทอัตโนมัติ

ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง เพิ่มความสนุก

New MG4 Electric ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ ให้แก่การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมกับสมรรถนะ และการควบคุม ที่ทำให้ขับสนุก และเร้าใจกว่าที่เคย ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร

ใช้เทคโนโลยีแบทเตอรี  Rubik’s Cube Battery ขนาดความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้วิ่งได้ระยะทาง 425 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แบทเตอรีมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำ และฝุ่น รวมถึงการระบายความร้อนแบทเตอรีด้วยน้ำ Liquid Cooling System

ระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง (Dynamic Rear Wheel Drive) และระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ กลาง สูง ที่แปรผันตามการขับขี่ (Adaptive)

New MG4 Electric มีด้วยกัน 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น D และรุ่น X โดยมีสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี คือ สีฟ้า (Brighton Blue) สีดำ (Black Knight) สีแดง (Scarlet Red) สีเทา (Andes Grey) และสีขาว (Arctic White) ตกแต่งภายในด้วยสีดำ (Black) ในรุ่น D และสไตล์ทูโทนเทา-ดำ (Grey & Black) ในรุ่น X

KIA เตรียมเผยโฉม EV6 GT-Line ลุยศึกรถไฟฟ้าใน Motor Expo 2022

Kia EV6 ได้รับรางวัลรถยนต์ยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 หรือ Car of the Year in Europe 2022 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รถยนต์จากเกาหลีใต้ ได้รับรางวัลนี้ในรอบ 59 ปี ด้วยคะแนนรวม 279 คะแนน แซงหน้า Renault Megane E-Tech Electric ในอันดับที่ 2 ด้วยคะแนน 265 คะแนน และ Hyundai Ioniq 5 อันดับ 3 ด้วยคะแนน 261 คะแนน

Kia EV6 สร้างขึ้นบน Electric-Global Modular Platform (E-GMP) เดียวกันกับ Ioniq 5 ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยว และแบบมอเตอร์คู่ มิติตัวถังมีความยาว 4,680 มม. กว้าง 1,880 มม. รุ่นพื้นฐานสูง 1,550 มม. และระยะฐานล้อ 2,900 มม. โดยมีขนาดใกล้เคียงกับ Ioniq 5 นอกจากความแตกต่างของดีไซจ์นภายนอกแล้ว การออกแบบห้องโดยสารก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ โดย Ioniq 5 นั้นเน้นความหรู และเรียบง่ายสไตล์มีนีมอล ส่วน EV6 จะให้ความรู้สึกสปอร์ทมากกว่า

Kia EV6 มีการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย กระจังหน้าแบบ Tiger Nose พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential ช่องลมกันชนหน้าช่วยให้ด้านหน้าดูกว้างขึ้น ด้านข้างเส้นสายตัวถังแบบ Crossover ติดตั้งมือจับแบบฝังเรียบไปกับตัวถัง ด้านหลังมีเสาหลังคา C-pillar ลาดลงตัดสีดำ สปอยเลอร์หลังคา และไฟท้ายแบบยาวตลอดแนว

ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ All-Wheel Drive โดนรุ่นพื้นฐานมอเตอร์เดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ส่วนรุ่นมอเตอร์คู่กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 235 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 61.6 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.2 วินาที โดยทั้งคู่ใช้แบทเตอรีขนาด 58 กิโลวัตต์ชั่วโมง เหมือนกัน

หากอัพเกรดแบทเตอรีเป็น 77.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง รุ่นมอเตอร์เดี่ยวกำลังสูงสุดจะเพิ่มขึ้นเป็น 228 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเท่าเดิมที่ 35.6 กก.-ม. ส่วนรุ่นมอเตอร์คู่กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 325 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเท่าเดิมที่ 61.6 กก.-ม. อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ภายใน 5.2 วินาที โดยชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งได้ระยะทางประมาณ 510 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ของยุโรป

ในงาน Motor Expo 2022 Kia จะนำรถรุ่นนี้มาอวดโฉมให้คนไทยได้ดู และคาดว่าจะเป็นเวอร์ชันสมรรถนะสูง และมาพร้อมกับการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่มีความสปอร์ทกว่ารุ่นปกติ เริ่มจากวัสดุตกแต่งแผงแดชบอร์ดลาย Geonic 3D Pattern รวมถึงเบาะนั่งที่หุ้มด้วยวัสดุผ้า Suede

ระบบความปลอดภัย Advanced Driver Assistance System (ADAS) ประกอบด้วย
– Safe Exit Assist (SEA) ระบบแจ้งเตือน เมื่อมีรถยนต์วิ่งเข้ามายังฝั่งที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
– Lane Following Assist (LFA) ระบบรักษารถยนต์ให้อยู่กลางช่องจราจร
– Highway Driving Assist 2 (HDA 2) ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติบนทางหลวง
– Remote Smart Parking Assist กล้อง 360 องศา ซึ่งแสดงผลแบบ 3D

Hyundai Stargazer รถเอมพีวี 7 ที่นั่ง รุ่นล่าสุดในไทย พบตัวจริงได้ในงาน Motor Expo 2022

Hyundai Stargazer เป็นรถเอมพีวีแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่มีคู่แข่งที่เรารู้จักกันดีอย่าง Mitsubishi Xpander, Toyota Veloz และ Suzuki Ertiga มีดีไซจ์นภายนอกคล้ายกับ Hyundai Staria ที่ถูกย่อส่วนลงมา โดยยังคงใช้ภาษาการออกแบบ Sleek One Box และ One Curve Design จึงทำให้รถดูล้ำสมัย

ด้านหน้าโดดเด่นด้วยแถบไฟเต็มความกว้าง ที่วิ่งเป็นเส้นอยู่ใต้ฝากระโปรง ไฟหน้าแบบ LED ขนาบด้านข้าง กระจังหน้าสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ และกันชนรูปตัว X

Hyundai Stargazer ถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์มเดียวกันกับ Kia Carens รถสไตล์เอมพีวี 7 ที่นั่ง ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศอินเดียไปไม่นาน มิติตัวถัง ยาว 4,460 มม. กว้าง 1,780 มม. สูง 1,695 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,780 มม. จึงมีขนาดใกล้เคียงกับเจ้าตลาดอย่าง Mitsubishi Xpander ที่ยาว 4,595 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,750 มม. ระยะฐานล้อ 2,775 มม.

ส่วนตัวถังของคู่แข่งอย่าง Toyota Veloz ก็นับว่าใกล้เคียงอยู่เหมือนกัน โดยมีความยาว 4,475 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,700 และระยะฐานล้อ 2,750 มม.

ภายในห้องโดยสาร มีให้เลือกทั้งรุ่น 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง โดยรุ่น 6 ที่นั่ง จะมาพร้อมเบาะนั่งแถวที่ 2 แบบ Captain Seat แยกอิสระพร้อมที่วางแขน ดูหรูหราไม่ต่างจากรุ่นพี่ สามารถปรับตำแหน่งเลื่อนหน้า/หลัง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้า/ออก

เบาะนั่งแถว 3 มีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น โต๊ะแบบพับได้บริเวณเบาะนั่งแถวที่ 2 มีการออกแบบห้องโดยสารให้มีพื้นที่เก็บสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เป็นจำนวนมาก รวมถึงออกแบบแผงคอนโซลเพื่อให้รบกวนพื้นที่โดยสารด้านหน้าให้น้อยที่สุด

ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ Safety System & Driving Assistance มีมาให้แบบจุใจ เริ่มตั้งแต่
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
– เบรคมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold
– ระบบป้องกันล้อลอค (ABS)
– ระบบเสริมแรงเบรค (BAS)
– ระบบควบคุมเสถียรภาพ (ESC)
– ระบบควบคุมการทรงตัว (VSM)
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)
– สัญญาณไฟกะพริบฉุกเฉินเมื่อเบรคกะทันหัน (ESS)
– ระบบกล้องมองหลังแสดงภาพขณะถอยหลัง (RVM)
– ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS)

– เซนเซอร์กะระยะถอยหลัง Parking Distance Warning–reverse
– ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง 6-Airbags
– ระบบช่วยเตือน และเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (FCA)
– ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
– ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (BCA)
– ระบบช่วยเตือน และเบรคอัตโนมัติขณะถอยรถ (RCCA)
– ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (HBA)
– ระบบเตือนการเปิดประตูเมื่อมีรถวิ่งมาทางด้านหลัง (SEA)
– ระบบเตือนให้ตรวจสอบผู้โดยสารด้านหลังก่อนออกจากรถ (ROA)

Hyundai Stargazer ในประเทศอินโดนีเซีย มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ในราคาเริ่มต้นที่ 243,300,000-307,100,000 รูเปียห์ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 594,000-750,000 บาท

ล่าสุด Hyundai ประเทศไทย เตรียมเผยโฉม Hyundai Stargazer ให้แฟนๆ ชาวไทยได้เห็น และสัมผัสตัวจริง และรอลุ้นราคากันในงาน Motor Expo 2022 ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565 นี้

Suzuki Ertiga Hybrid เอมพีวีพลังไฮบริด (เผยราคาใน Motor Expo 2022)

Suzuki Ertiga คือ เอมพีวีของค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นที่ทำตลาดมาพักหนึ่งแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถือเป็นครั้งแรกของค่ายรถแห่งนี้ในประเทศไทย นั่นคือ การเปลี่ยนขุมพลังแบบเบนซิน 1.5 ลิตร มาเป็นแบบไฮบริดขนาดเล็ก (หรือที่เรียกกันว่า Mild Hybrid) กับ Ertiga Hybrid มาดูระบบการทำงาน และการทดลองขับเป็นระยะทางสั้นๆ แต่มีความหลากหลายที่ จ. เชียงใหม่

สเปคเบื้องต้นของระบบไฮบริด
Suzuki Ertiga Hybrid มีระบบไฮบริดขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 14.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (เหมือนกับรุ่นปกติทุกประการ) ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า มีกำลังสูงสุดที่ 3.1 แรงม้า (หรือ 2.3 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 5.1 กก.-ม. กับแบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน ขนาดกะทัดรัด (ความจุ 6 แอมพ์ชั่วโมง 12 โวลท์) ติดตั้งข้างใต้เบาะนั่งด้านข้างผู้ขับ

หน้าที่ของแบทเตอรีชุดนี้ คือ การส่งกำลังเสริมให้แก่เครื่องยนต์สันดาปในจังหวะที่เหมาะสม เช่น ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ภายใต้ระบบ Auto Start/Stop และขณะกดคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถนำพลังงานจากการชะลอความเร็วของตัวรถแปลงกลับมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ชุดแบทเตอรีได้ เช่น ขณะผู้ขับเหยียบแป้นเบรค และขณะที่ผู้ขับถอนเท้าจากคันเร่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของระบบไฮบริด

การทำงานของระบบ Smart Hybrid

ทางผู้ผลิตติดตั้งชุดควบคุมเพิ่มเติม นั่นคือ ISG หรือ Integrated Stater Generator โดยใช้ชุดสายพานต่อเนื่องกับเครื่องยนต์ เป็นจุดที่ระบบไฮบริดสามารถเสริมกำลังการขับเคลื่อนพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรได้ รวมถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์จากระบบ Auto Start/Stop (การสตาร์ทเครื่องยนต์ตามปกติจะเกิดขึ้นเฉพาะครั้งแรกขณะสตาร์ทรถด้วยผู้ขับเท่านั้น)

ประโยชน์สำคัญมากๆ ของการทำงานจากระบบไฮบริด คือ การประหยัดเชื้อเพลิง โดยทาง Suzuki เผยว่า Ertiga Hybrid มีการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย (ตามข้อมูลของ Eco Sticker) ที่ 17.9 กม./ลิตร ประหยัดกว่า Ertiga (มีตัวเลขที่ 15.9 กม./ลิตร) รุ่นปกติถึง 13 % จากจำแนกสภาวะการขับขี่ ในตัวเมือง รุ่น Hybrid ทำได้ที่ 15.9 กม./ลิตร ส่วนรุ่นปกติ คือ 12.7 กม./ลิตร (รุ่น Hybrid ประหยัดกว่าถึง 25 %) ส่วนการขับขี่นอกเมือง หรือทางไกล รุ่น Hybrid คือ 19.2 กม./ลิตร และรุ่นปกติ คือ 18.5 กม./ลิตร (รุ่น Hybrid ประหยัดกว่าที่ 4 %)

ความรู้สึกจากการทดลองขับ

ขณะที่ในแง่ของอัตราเร่ง แม้ผู้ผลิตจะไม่ได้ระบุมาโดยตรง แต่จากการทดลองขับ เราพบว่าอัตราเร่งโดยรวมของ Suzuki Ertiga Hybrid ไม่แตกต่างจากรุ่นปกติมากนัก ความรู้สึกที่พอสัมผัสได้ คือ ขณะกดคันเร่งลึก เสมือนการเร่งแซง เราพบว่ามอเตอร์ไฟฟ้ามีการเสริมพละกำลังให้แก่เครื่องยนต์ชั่วขณะหนึ่ง ขณะการไต่ความเร็วจึงมีความไหลลื่น และเนียนกว่าปกติ

โดยที่รอบเครื่องยนต์ไม่โหนสูงจนเกินไป การทำงานของระบบ Auto Start/Stop มีจังหวะที่เนียนพอใช้ได้ (แม้ขณะจอดนิ่ง และเครื่องยนต์ดับ ระบบปรับอากาศจะลดการทำงานด้วยเช่นกัน) การใช้งานระบบไฮบริดที่ทาง Suzuki เรียกชื่อว่า Smart Hybrid แม้ระบบโดยรวมจะมีขนาดเล็ก แต่สามารถเสริมการขับขี่ และการหมุนเวียนพลังงานมาใช้งานได้อย่างแนบเนียน

ผู้ขับสามารถทำการขับขี่ได้ตามปกติเหมือนเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเดิม แต่ได้สมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิงกลับมาในระดับที่เหมาะสม ส่วนระบบรองรับ และการบังคับควบคุม ยังคงเน้นความนุ่มนวล แต่มีการหักเลี้ยวที่แม่นยำ (การปรับแต่งระบบรองรับเหมือนกับ Ertiga รุ่นปกติทุกประการ)

เอมพีวีอเนกประสงค์ ประหยัดดีมากในตัวเมือง

การมาถึงของระบบไฮบริด (รุ่นแรกของเซกเมนท์ !) ใน Suzuki Ertiga Hybrid ทำให้เอมพีวีรุ่นนี้มีความคุ้มค่ามากกว่าเดิม โดยเฉพาะในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงขณะขับในตัวเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น นอกจากนี้ ยังมีการเสริมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขณะกดคันเร่ง ช่วยให้เร่งแซงได้ดีขึ้น ภายใต้พื้นที่ใช้สอยที่จัดเต็ม มีความอเนกประสงค์ที่หลากหลาย โดย Ertiga เตรียมเปลี่ยนมาเป็นรุ่น Hybrid ล้วนๆ (ไม่มีเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรแบบรุ่นปกติเดิมอีกต่อไป) กับราคาที่เตรียมเผยในงาน Thailand International Motor Expo 2022 นี้  

VDO Success of Motor Expo 2021 English Version

1 ธันวาคม 2565

วันมหากุศล 
สำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเข้าชมงานในวันนี้
สามารถซื้อบัตรเข้าชมงานราคา 100 บาท​ เพื่อร่วมทำกุศลกับผู้จัดงาน
12.00 – 22.00 น.

2 – 12 ธันวาคม 2565

วันสำหรับบุคคลทั่วไป วันธรรมดา
12.00 – 22.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ
11.00 – 22.00 น.

สถานที่จัดงาน :

อาคาร IMPACT Challenger 1-3 เมืองทองธานี
99 ถนนปอปปูลา ปากเกร็ด นนทบุรี 11120
โทร: (+66) 2-833-4455 แฟกซ์: (+66) 2-833-4456
เว็บไซต์ : www.impact.co.th

ที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.motorexpo.co.th

Gallery

Tag

บทความน่าสนใจ